ประวัติฟุตบอลโลก (World Cup)


ประวัติฟุตบอลโลก (World Cup)
ฟุตบอลโลก (world cup)" เป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่และมีผู้ให้ความสนใจทั่วโลก โดย สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (F.I.F.A.) กำหนดให้จัดขึ้นทุกๆ 4 ปี โดยให้แต่ละ
ประเทศที่มีศักยภาพผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
     สำหรับผู้ริเริ่มให้มีการแข่งขันครั้งแรกคือ จูลส์ ริเมท์ (Jules Rimet) เป็นชาวฝรั่งเศส ได้เสนอในที่ประชุมของประเทศสมาชิกสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ.1902 แต่กว่าการแข่งขันครั้งแรกจะเริ่มขึ้นได้ก็ล่วงมาถึงปี ค.ศ.1930 ประเทศอุรุกวัย รับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยมี 13 ชาติ ส่งทีมร่วมแข่งขัน และอุรุกวัยเจ้าภาพก็คว้าแชมป์ไปครอง และเพื่อเป็นเกียรติแด่ จูลส์  ริเมท์ ถ้วยรางวัลชนะเลิศจึงใช้ชื่อว่า "ถ้วยจูลส์ ริเมท์"
    หลังจากฟุตบอลโลกครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ.1938 การแข่งขันต้องหยุดชะงักไป 12 ปี เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้มาเริ่มแข่งขันครั้งที่ 4 ในปี ค.ศ.1950 โดยบราซิลรับเป็นเจ้าภาพท่ามกลางความขัดแย้งของหลายๆ ชาติ เนื่องจากควันหลงจากสงครามโลกนั่นเอง
     ต่อมาในปี ค.ศ.1970 ประเทศบราซิลได้คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 3 จึงได้สิทธิ์ครอบครองถ้วยจูลส์ริเมท์ (ซึ่งภายหลังได้ถูกขโมยไป) ทางฟีฟ่าจึงได้จัดทำถ้วยรางวัลขึ้นมาใหม่ใช้ชื่อว่า "ถ้วยฟีฟ่า" ทำด้วยทองคำ มีความสูง 36 ซม. มูลค่าประมาณ 4 แสนดอลลาร์สหรัฐและใช้มาจนถึงปัจจุบัน

     ฟุตบอลโลก ครั้งที่ 12 ในปี ค.ศ.1982 ฟีฟ่าได้ปรับเปลี่ยนจำนวนทีมเข้าแข่งขันจากเดิม 16 ทีม เป็น 24 ทีม เนื่องจาก "ฟุตบอล" เริ่มได้รับความนิยมไปแพร่หลายทั่วโลก แต่ละประเทศมีการพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาก จึงน่าจะมีทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายมากขึ้นตามไปด้วย
    
 ฟุตบอลโลกเริ่มเข้าสู่ความนิยมอย่างเต็มรูปแบบทั้งด้าน กีฬา ธุรกิจ การเงิน ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด และ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ในครั้งที่ 16 เมื่อปี ค.ศ.1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ พร้อมกับจำนวนทีมที่ฟีฟ่ากำหนดให้ผ่านเข้ามาถึงรอบสุดท้ายมากขึ้นเป็น 32 ทีมอาจเรียกว่าฟุตบอลโลกได้ก้าวขึ้นมาสู่อีกยุคหนึ่งก็ว่าได้

ครั้งที่ 1 (1930, อุรุกวัย)
ฟุตบอลโลกเริ่มต้นครั้งแรกที่อรุกวัย เมื่อปี ค.ศ. 1930 และก็เป็นเจ้าภาพอุรุกวัยที่ได้แชมป์ในครั้งแรก โดยเอาชนะ อาร์เจนติน่าไป 4-2 

ครั้งที่ 2 (1934, อิตาลี)
ครั้งที่สอง ก็เป็นทางด้านทวีปยุโรปที่เข้ามาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ในปีนี้ก็เป็นเจ้าภาพที่เอาชนะเชโกสโลวเกียไป 4-2 ในรอบชิงชนะเลิศ ได้เป็นแชมป์ต่อจากอุรุกวัย

ครั้งที่ 3 (1938 , ฝรั่งเศส)
ครั้งที่ 3 กับเจ้าภาพฝรั่งเศสก็เป็น อิตาลีที่ป้องกันแชมป์ได้ เป็นที่มแรกที่ได้แชมป์ติดต่อกัน โดยเอาชนะ ฮังการี 4 - 2 ในนัดชิงชนะเลิศ

ครั้งที่ 4 (1950 , บราซิล)
ผลพวงจากสงครามโลกทำให้กีฬาต้องเจอโรคเลื่อนไปเกือบ 16 ปี และก็เป็นบราซิลที่เสนอตัวจัดในครั้งนี้ โดยมีทีมร่วมแข่งขันถึง 22 นัด เพิ่มจากครั้งที่ 1 - 2 ที่มีเพียง 18 และ 17 นัด ตามลำดับ และทีมที่ได้แชมป์คือ อุรุกวัยที่เอาชนะเจ้าภาพ ไป 2 - 1 ได้แชมป์ 2 สมัยเท่ากับบราซิล

ครั้งที่ 5 (1954 , สวิตเซอร์แลนด์)
ในปีนี้อินทรีเหล็กเยอรมันตะวันตก (สมัยนั้นยังแบ่งเป็น เยอรมันตะวันตก กับ เยอรมันตะวันออก อยู่) ก็สามารถเอาชนะ ฮังการีไป 3-2 ได้แชมป์ไปนอนกอดอีกชาติ โดยดับฝันของ ซานเดอร์ คอคซิส ศูนย์หน้าชาวฮังการีที่ได้เป็นดาวซัลโว 11 ประตู

ครั้งที่ 6 (1958 , สวีเดน)
และแล้วควมฝันของบราซิลก็เป็นผลสำเร็จในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก โดยเอาชนะเจ้าภาพ สวีเดนไป 5 - 2 โดยไข่มุกดำเปเล่ ได้เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้ลงในนัดชิงชนะเลิศ และยังยิงได้ถึง 2 ประตู เป็นการเปิดตำนานแข้งแซมบ้าบราซิลผู้นี้ และเป็นการคว้าแชมป์นอกทวีปได้เป็นทีมแรก

ครั้งที่ 7 (1962 , ชิลี)
ที่ชิลีนั้นก็ยังเป็นบราซิbQอีกครั้งที่ได้แชมป์ติดต่อกัน เอาชนะเชโกสโลวเกีย ไป 3 - 1 โดยในครังนี้มีข้อสังเกตคือดาวซัลโวยิงประตูได้เพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น (น้อยมั้ย)

ครั้งที่ 8 (1966 , อังกฤษ)
ก็ย้ายกลับมาจัดที่ยุโรปอีกครั้ง และก็เป็นเจ้าภาพอังกฤษที่เอาชนะ เยอรมันตะวันตก ในนัดชิงชนะเลิศ โดยเสมอกันในเวลา 2 - 2 และก็เป็น เจฟ เฮิร์ซ ที่ยิงสองลูกให้อังกฤษชนะไป 4 - 2 และหนึ่งในสองลูกนั่นยังเป็นข้อกังขาว่ามันเข้าหรือไม่เข้า (ผมก็ไม่รู้อ่ะนะมองไม่ออกจริงๆ)

ครั้งที่ 9 (1970 , เม็กซิโก)
ถึงคราวทวีปอเมริกาเหนือ อย่างเม็กซิโกบ้างที่เป็นเจ้าภาพ และก็เป็นบราซิลอีกครั้งที่ประกาศศักดา เป็นแชมป์ 3 สมัย สูงสุดเลย โดยเปเล่วาดลวดลายช่วยทีมจนประสบผลสำเร็จ โดยเอาชนะอิตาลีไป 4 - 1 โดยในครั้งนี้ได้กำเนิดกองหน้าตีนระเบิด แกร์ด มุลเลอร์ ของเยอรมันฯ เป็นดาวซัลโว 10 ประตู

ครั้งที่ 10 (1974 , เยอระมันตะวันตก)
ก็เป็นอีกปีที่เจ้าภาพเยอรมีนตะวันตกที่เป็นแชมป์ สมัยที่ 2 อีกทีม ที่เอาชนะฮอลแลนด์ไป 2 - 1 ในนัดชิงชนะเลิศ และก็เป็น แกร์ด มุลเลอร์ ที่ยิงประตูชัยให้เยอรมันชนะ

ครั้งที่ 11 (1978 , อาร์เจนตินา)
ฮอลแลนด์ ต้องอกหักเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน หลังจากแพ้ให้เจ้าภาพ อาร์เจนตินาในนัดชิง ไป 3 - 1 ในช่วงต่อเวลา หลังเสมอกันใน 90 นาที ไป 1-1 และ มาริโอ แคมเปส เป็นดาวซัลโว

ครั้งที่ 12 (1982 , เสปน)
ข้ามมาที่แดนกระทิงดุ เสปน และก็เป็น เปาโล รอซซี่ ที่พาทีมอิตาลี คว้าแชมป์ สมัยที่ 3 ต่อจากบราซิล ได้สำเร็จ โดยเอาชนะ เยอรมันตะวันตกไป 3 - 1ในนัดชิงชนะเลิศ และในปีนี้เสือเตี้ย ดีเอโก้ มาราโดนา ก็ได้สัมผัสเกมฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก

ครั้งที่ 13 (1986 , เม็กซิโก)
อีกครั้งที่เมกซิโก ที่มาราโดนา แจ้งเกิดตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยพาทีมชาติของเขาคว้าแชมป์ เป็นสมัย ที่สองได้สำเร็จ โดยในรอบสองนั้นเขายิงลูกที่กล่าวมาเป็นตำนานมาถึงปัจจุบัน Hand Of God เอาชนะอังกฤษไป 2 - 1 และในนัดชิงชนะเลิศ ก็ดับฝันของเยอรมันตะวันตกไป 3 - 2

ครั้งที่ 14 (1990 , อิตาลี)
แดนมะกะโรนี อิตาลีได้เป็นเจ้าภาพอีกครั้งแต่เป็นเยอรมันตะวันตกที่แก้แค้นอาร์เจนตินา ในนัดชิงชนะเลิศ ไป 1 - 0 เป็นแชมป์ สมัยที่ 3 ได้สำเร็จ และก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับศึกลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จำได้แม่นเลย ภาพที่ เจอเกน คลินส์มัน ลงเล่นให้กับ เยอรมัน (ชอบมากๆ)

ครั้งที่ 15 (1994 , สหรัฐฯ)
ต้องถือว่าเป็นประวัตฺศาสตร์ลูกหนังโลกทีเดียว เมื่อมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน และก็มีผู้ชมการแข่งขันมากที่สุด 3 ล้านกว่าคน ในปีนี้เป็นการห้ำนกันระหว่าง อิตาลี และบราซิล โดยท้ายที่สุด โรมาริโอ ก็แซง โรแบร์โต้ บักโจ้ ที่พลาดจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศ ไป 3 - 2 โดยเสมอกันในเวลา 0-0

ครั้งที่ 16 (1998 , ฝรั่งเศส)
ครั้งนี้ตัวเต็งหลายทีมต่างห้ำหั่นกันอย่างสุดมัน และก็เป็นข่าวฉ่าวโฉ่ของสุดหลอ เบคแฮม ที่โดนใบแดงทำให้ทีมตกรอบ 16 ทีม สุดท้าย และก็เป็นฝรั่งเศส ที่พลิกล็อค เอาชนะแซมบ้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ ถึง 3 - 0 โดยโรนัลโด้บอกว่าเป็นฝันร้ายของเขา มีม้ามืดที่ทำให้โลกตะลึงคือ โครเอเชีย ที่มี ดาวอร์ ซูเคอร์เป็นดาวซัลโว

ครั้งที่ 17 (2002 , เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น)
และแล้วก็เป็นครั้งแรกที่มีการจัดฟุตบอลโลกในทวีปเอเชีย โดยเจ้าภาพร่วม เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นนั้นต่างก็พากันฟอร์มดี โดยเฉพาะ เกาหลีใต้ ที่ สร้างเซอร์ไพรส์ เข้าชิงอันดับที่ 3 (เห็นเขาว่าโกงนะ) แต่ก็แพ้ตุรกี ไป 3 - 2 และในนัดชิงชนะเลิศ เป็นการกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ของ อิทรีเหล็กเยอรมัน กับ แซมบ้าบราซิล ผลสุดท้ายบราซิลก็เอาชนะไป 2 - 0 จาก โรนัลโด้ ทั้งสองประตู

ครั้งที่ 18 (2006 , เยอรมันนี)
และในครังนี้ หลายๆ ทีมต้างก็พาเหรดกันเข้ารอบสุดท้าย 32 ทีมเรียบร้อยแล้ว ดังนี้
กลุ่ม A Germany , Costa Rica , Poland , Ecuador
กลุ่ม B England , Paraguay , Trinidad and Tobago , Sweden
กลุ่ม C Argentina , Ivory Cote , Serbia and Montenegro , Netherlands
กลุ่ม D Mexico , Iran , Angola , Portugal
กลุ่ม E Italy , Ghana , USA , Czech Republic
กลุ่ม F Brazil , Croatia , Australia , Japan
กลุ่ม G France , Switzerland , Korea Republic , Togo
กลุ่ม H Spain , Ukraine , Tunisia , Saudi Arabia 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น